หากผู้ป่วยติดเชื้อวัณโรค แต่ไม่มีแสดง ก็ยังจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา วิธีรักษาวัณโรคจะเพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเมื่อถูกกระตุ้นให้ทำงาน การรักษาป้องกันที่พบได้บ่อยที่สุดคือการให้ยาปฏิชีวนะ isoniazid (INH) ทุกวัน วันละเม็ด นาน 6 – 9 เดือน ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคจะไม่ใช่พาหะนำโรคอีกต่อไป
วัณโรคที่แสดงอาการรักษาอย่างไร
หากผู้ป่วยมีอาการของโรควัณโรค ผู้ป่วยอาจรับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรียร่วมกันเป็นเวลา 6 – 12 เดือน ยารักษาวัณโรคที่แสดงอาการโดยทั่วไปคือยาปฏิชีวนะ isoniazid (INH) ร่วมกับยาอื่น ๆ อีก 3 ชนิด ได้แก่ rifampin, pyrazinamide และ ethambutol ผู้ป่วยอาจมีอาการดีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเริ่มใช้ยา แต่การรักษาวัณโรคจำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ผู้ป่วยต้องรับประทานยาต่อเนื่องไปตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด มิฉะนั้นผู้ป่วยอาจกลับมาป่วยใหม่ได้อีก การต่อสู้กับโรคนี้จะทำได้ยากขึ้น และอาจแพร่ระบาดไปยังผู้อื่น การรับประทานยาไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดอาจส่งผลให้เชื่อวัณโรคดื้อยาได้
เชื้อวัณโรคดื้อยา
วัณโรคดื้อยาหมายความว่ายาบางตัวที่ใช้รักษาวัณโรคในระยะแรกจะไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อวัณโรคในร่างกายของผู้ป่วยได้อีกต่อไป วัณโรคที่ดื้อยาอาจดื้อยามากกว่า 1 ชนิดเรียกว่าเชื้อวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR TB) ซึ่งเป็นอันตรายมาก การรักษาวัณโรคประเภทนี้จะใช้เวลานานกว่าปกติ 20 ถึง 30 เดือนจึงจะหายขาดได้ และผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียงมากขึ้น
วัณโรครักษาหายไหม
ผู้ป่วยต้องรับประทานยาให้หมด และรับประทานยาให้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด หากผู้ป่วยหยุดยาเร็วเกินไป ผู้ป่วยอาจกลับมาป่วยอีกครั้ง และอาจแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้ การรับประทานยาอย่างไม่ถูกต้อง จะทำให้เชื้อโรควัณโรคยังมีชีวิตอยู่และอาจดื้อยาได้ ทำให้ผู้ป่วยที่ดูเหมือนว่าอาการดีขึ้นกลับมาป่วยใหม่ และหายได้ยากกว่าเดิม
ในขณะที่กำลังรักษาวัณโรคอยู่ ผู้ป่วยจำเป็นต้องตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าการรักษานั้นได้ผล ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกัน อาจเกิดผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา ดังนี้ :
● ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
● การรู้สึกเสียวแปลบหรือชาที่มือหรือเท้า
● เกิดผื่นคัน หรือรอยช้ำที่ผิวหนัง
● สายตาเปลี่ยนแปลง หรือมองเห็นภาพเบลอ
● ผิวหรือตาเหลือง
● ปัสสาวะมีสีเข้ม
● อ่อนแรง อ่อนเพลีย มีไข้เป็นเวลา 3 วันขึ้นไป
สิ่งสำคัญคือต้องแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบทันที หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการที่ผิดปกติ ในขณะที่รับประทานยา ไม่ว่าจะเพื่อการรักษา หรือป้องกันโรค ยารักษาวัณโรคอาจเป็นพิษต่อตับ และผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยรู้สึกอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสียหายของตับ หากผู้ป่วยเกิดปัญหาเสียวซ่า และมึนงง แพทย์อาจพิจารณาเพิ่มวิตามินบี 6 เสริมให้ในขณะที่ผู้ป่วยกำลังรับการรักษา นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนยารักษาวัณโรคให้ กรณีพบผลข้างเคียงที่ร้ายแรง
เคล็ดลับการรับประทานยารักษาวัณโรค
การรักษาวัณโรคที่สำคัญคือต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ วิธีการที่ช่วยให้ผู้ป่วยจดการรับประทานยารักษาวัณโรคนั้นมีดังนี้
● ทานยาให้ตรงเวลาทุกวัน
● เมื่อรับประทานยาในแต่ละวัน ผู้ป่วยควรทำเครื่องหมายเอาไว้บนปฏิทิน
● ซื้อเครื่องจ่ายยารายสัปดาห์ที่แบ่งเป็นส่วน ๆ สำหรับแต่ละวันในสัปดาห์
● ขอให้คนใกล้ชิดตรวจสอบให้ทุกวัน เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับประทานยาแล้ว
● ถามแพทย์ที่ทำการรักษาว่าควรทำอย่างไรหากลืมกินยา
● การป้องกันการแพร่ระบาดของวัณโรค
หากเป็นวัณโรค ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการรักษา 2 – 3 สัปดาห์ก่อน ผู้ป่วยจึงจะไม่สามารถแพร่เชื้อแบคทีเรียวัณโรคไปยังผู้อื่นได้ ผู้ป่วยต้องรอให้แพทย์ที่ทำการรักษาอนุญาตให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ เพื่อป้องกันตัวเองและผู้อื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ผู้ป่วย:
● ทานยาให้ตรงตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
● ในขณะที่ไอ จามหรือหัวเราะให้ใช้ทิชชู่ปิดปากเอาไว้ นำทิชชู่ใส่ในถุงปิดและโยนทิ้ง
● ห้ามไปทำงานหรือไปเรียนจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
● หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หรือนอนร่วมกับผู้อื่น.
● ระบายอากาศในห้องของผู้ป่วยบ่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีเชื้อวัณโรคอยู่ในห้อง และแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
● https://www.webmd.com/lung/understanding-tuberculosis-basics
● https://www.cdc.gov/tb/topic/basics/default.htm
● https://www.nhs.uk/conditions/tuberculosis-tb/